วันพฤหัสบดีที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2554

ภาวะผู้นำแบบแลกเปลี่ยน

ภาวะผู้นำแบบแลกเปลี่ยน (Transactional leadership)
                       นำแบบแลกเปลี่ยน  คือ  การใช้กระบวนการแลกเปลี่ยนระหว่างผู้นำกับผู้ตาม โดยที่ผู้นำยอมรับความต้องการของผู้ตามด้วยการให้วัตถุสิ่งของมีค่าตามที่ต้องการ แต่มีเงื่อนไขแลกเปลี่ยนให้ผู้ตามต้องทำงานบรรลุวัตถุประสงค์ที่กำหนดหรือปฏิบัติหน้าที่ได้สำเร็จตามข้อตกลง ผู้ตามก็จะได้รางวัลตอบแทนเป็นการแลกเปลี่ยน ขณะที่ผู้นำก็ได้ประโยชน์จากผลงานที่สำเร็จนั้น ผู้นำแบบแลกเปลี่ยนจึงเน้นที่ทำให้การดำเนินการขององค์การในปัจจุบันเป็นไปอย่างราบรื่นและมีประสิทธิภาพ (efficiency) บังเกิดผลดี (excel)   (เบอร์น   Bum, 1978)
                        ลักษณะของผู้นำแบบแลกเปลี่ยนจะสังเกตเห็นได้ดังนี้  (Bass and Avolio, 1990 : 10)
1.  รู้ว่าผู้ตามต้องการอะไรจากการทำงาน และพยายามให้ผู้ตามได้รับสิ่งที่ต้องการ ตราบเท่าที่เขายังทำงานได้ผล
2.  แลกเปลี่ยนรางวัลและสัญญาว่าจะให้รางวัลถ้ามีความมานะพยายามในการทำงาน
3.  ตอบสนองต่อความต้องการและความปรารถนาของผู้ตามตราบเท่าที่ผู้ตามยังคงทำงานได้สำเร็จ
r  องค์ประกอบที่สำคัญของผู้นำแบบแลกเปลี่ยน  (Transactional leadership)  ที่ทำให้มีอิทธิพลต่อผู้ตามได้แก่ 
 1.  การให้รางวัลตามสถานการณ์  (Contingent Reward : CR) เกี่ยวข้องกับปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้นำและผู้ตามซึ่งเน้นการแลกเปลี่ยนนั่นคือผู้นำให้รางวัลที่เหมาะสม เมื่อผู้ตามปฏิบัติงานตาม ข้อตกลงหรือได้ใช้ความพยายามสมควร
2. การบริหารแบบวางเฉย (Management-by-Exception) เป็นการบริหารงานที่ปล่อยให้เป็นไปตามสภาพเดิม (status quo) ผู้นำไม่พยายามเข้าไปยุ่งเกี่ยว จะเข้าไปแทรกก็ต่อเมื่อมีอะไรเกิดผิดพลาดขึ้นหรือการทำงานต่ำกว่ามาตรฐาน การเสริมแรงมักจะเป็นทางลบ คือตำหนิ ให้ข้อมูลย้อนกลับทางลบ แบ่งได้เป็น 2 แบบ  คือ   2.1 การบริหารแบบวางเฉยเชิงรุก (Active  Management-by-Exception : MBE-A) ผู้นำจะใช้วิธีการทำงานแบบกันไว้ดีกว่าแก้  ผู้นำจะคอยสังเกตผลการปฏิบัติงานของผู้ตาม และช่วยแก้ไขให้ถูกต้องเพื่อป้องกัน หรือความล้มเหลวที่อาจเกิดขึ้น 
2.2 การบริหารแบบวางเฉยเชิงรับ (Passive  Management-by-Exception : MBE-P) ผู้นำจะใช้วิธีการทำงานแบบเดิม และพยายามรักษาสถานภาพเดิม (status quo) ตราบเท่าที่วิธีการทำงานแบบเก่ายังใช้ได้ผล ถ้ามีอะไรผิดพลาดหรือมีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้น ผู้นำจะเข้าไปแทรกแซงถ้าผลปฎิบัติงานไม่ได้มาตรฐาน หรือมีบางอย่างผิดพลาด          (สุโขทัยธรรมาธิราช, บัณฑิตศึกษา (2540 : 59-61) 
                r  บริบทการเลือกใช้ภาวะผู้นำแบบแลกเปลี่ยน
                        คอตเตอร์ (Kotter, 1990) มีความเห็นว่าภาวะผู้นำที่ดีมีความสำคัญต่อความสำเร็จขององค์การ ต้องรู้จักเลือกใช้ภาวะผู้นำแบบแลกเปลี่ยน จึงทำให้ภาวะผู้นำบริหารงานองค์การสำเร็จประกอบด้วยตัวแปร 2 ประการ  ได้แก่
                        1. ระดับความสลับซับซ้อนขององค์การ (complexity of organization)
                        2. ระดับความจำเป็นที่ต้องการเปลี่ยนแปลง (amount of change needed)
ที่มา      http://suthep.cru.in.th/leader20.doc
นายยาเบ็น เรืองจรูญศรี
ผู้จัดทำ สมาชิกกลุ่มที่ 13   Transactional leadership
1.       นางทองดี นามสว่าง เลขที่ 14
2.       นายเทพวิมล นามสว่าง เลขที่ 17
3.       นายมติ ไตรยพันธ์ เลขที่ 41
4.       นายสาคร กันทะพันธ์ เลขที่ 59
นักศึกษาปริญญาโทรุ่นที่ 3 สาขาบริหารการศึกษา ศูนย์ท่าตูม จังหวัดสุรินทร์
มหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรี

วันพฤหัสบดีที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2554

สรุปหลักสูตรแกนกลาง 51

รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕0 และพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.๒๕๔๒ และแก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ๒) พ.ศ.๒๕๔๕
อาศัยอำนาจตามความมาตรา ๑๒ และมาตรา ๑๕ แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการกระทรวงศึกษาธิการ พ.ศ. ๒๕๔๖ และคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานได้มีมติเห็นชอบให้ใช้หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑
โรงเรียนต้นแบบ
1.ปีการศึกษา 2552 ให้ใช้หลักสูตร ในชั้น ป.1-6 และ ม.1 และ 4
2. .ปีการศึกษา 2553 ให้ใช้หลักสูตร ในชั้น ป.1-6 และ ม.1,ม.2 และ 4,ม.5
3. .ปีการศึกษา 2554 เป็นต้นไปใช้ครบทุกชั้นเรียน
โรงเรียนทั่วไป
1.ปีการศึกษา 2553 ให้ใช้หลักสูตร ในชั้น ป.1-6 และ ม.1 และ 4
2. .ปีการศึกษา 2554 ให้ใช้หลักสูตร ในชั้น ป.1-6 และ ม.1,ม.2 และ 4,ม.5
3. .ปีการศึกษา 2555 เป็นต้นไปใช้ครบทุกชั้นเรียน
หลักการมี 6 ข้อ จุดหมายมี 5 ข้อ สมรรถนะสำคัญของผู้เรียน มี 5 ประการดังนี้
1.ความสามารถในการสื่อสาร 2. ความสมารถในการคิด 3.ความสามารถในการแก้ปัญหา
4.ความสามารถในการใช้ทักษะชีวิต 5.ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี
คุณลักษณะอันพึงประสงค์ มุ่งพัฒนาผู้เรียน เพื่อให้สามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นในสังคมได้อย่างมีความสุข ในฐานะพลเมืองไทยและพลโลก มี 8 ข้อ
มาตรฐานการเรียนรู้จะสะท้อนให้ทราบว่า 1.ต้องการอะไร 2.ต้องสอนอะไร 3.จะสอนอย่างไร 4.ประเมินอย่างไร รวมทั้งเป็นเครื่องมือในการตรวจสอบเพื่อการประกันคุณภาพการศึกษาโดยใช้ระบบการประเมินคุณภาพภายใน และการประเมินคุณภาพภายนอก รวมถึงการทดสอบระดับเขตพื้นที่ และการทดสอบระดับชาติ
ตัวชี้วัด 1.ตัวชี้วัดชั้นปี เป็นเป้าหมายในการพัฒนาผู้เรียนแต่ละชั้นปีในระดับการศึกษาภาคบังคับ(ป.1-ม.3) 2. 1.ตัวชี้วัดช่วงชั้น เป็นเป้าหมายในการพัฒนาผู้เรียนในระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย(ม.4-ม.6)
โครงสร้างเวลาเรียน รวมเวลาเรียนทั้งหมด
1. ระดับประถมศึกษา ไม่เกิน 1,000 ชม./ปี จัดเวลาเรียนเป็นรายปี โดยมีเวลาเรียนวันละไม่เกิน 5 ชม.
2.ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น ไม่เกิน 1,200 ชม./ปีจัดเวลาเรียนเป็นรายภาค โดยมีเวลาเรียนวันละไม่เกิน 6 ชม.
3.ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย รวม 3 ไม่น้อยกว่า 3,600 ชม.จัดเวลาเรียนเป็นรายภาค โดยมีเวลาเรียนวันละไม่น้อยกว่า 6 ชม. ใช้เกณฑ์ 40 ชม./ภาคเรียน มีค่าน้ำหนักวิชา 1 หน่วยกิจ
กิจกรรมพัฒนาผู้เรียน
1. ประถมศึกษาปีที่ 1- มัธยมศึกษาปีที่ 3 ปีละ 120 ชม.
2 และมัธยมศึกษาปีที่ 4-6 จำนวน 360 ชม. นั้นเป็นเวลาสำหรับปฏิบัติกิจกรรมแนะแนว กิจกรรมนักเรียน และกิจกรรมเพื่อสังคมและสาธารณะประโยชน์ในส่วนกิจกรรมเพื่อสังคมและสาธารณประโยชน์ ให้สถานศึกษาจัดสรรเวลาให้ผู้เรียนได้ปฏิบัติกิจกรรมดังนี้
- ระดับประถมศึกษา (ป.1-6) รวม 6 ปี จำนวน 60 ชั่วโมง
- ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น (ม.1-3) รวม 3 ปี จำนวน 45 ชั่วโมง
- ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย (ม.4-6) รวม 3 ปี จำนวน 60 ชั่วโมง
การวัดผลและประเมินผลการเรียนรู้ แบ่งออกเป็น 4 ระดับ ได้แก่
1.ประเมินระดับชั้นเรียน อยู่ในกระบวนการเรียนรู้ ดำเนินการเป็นปกติ เช่น ซักถาม การบ้าน ชิ้นงาน แฟ้ม
2.ประเมินระดับสถานศึกษา ตรวจสอบผลการเรียนเป็นรายปี/ภาค ประเมิน เช่น อ่าน คิด วิเคราะห์ คุณลักษณะอันพึงประสงค์ ว่าส่งผลต่อการเรียนรู้ตามเป้าหมายหรือไม่ เปรียบเทียบกับเกณฑ์ระดับชาติ และระดับเขต
3.การประเมินระดับเขตพื้นที่การศึกษา ใช้เป็นข้อมูลพื้นฐานในการพัฒนาคุณภาพการศึกษา
4.การประเมินระดับชาติ ให้ ป.3 ,ป.6 ,ม.3,ม.6 เข้ารับการประเมิน ผลการประเมินใช้เป็นข้อมูลในการเทียบเคียงคุณภาพการศึกษาในระดับต่างๆเพื่อวางแผนยกระดับการศึกษา

วันพฤหัสบดีที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2554

การบริหารเชิงระบบ

การบริหารเชิงระบบ หมายถึง วิธีการนำความรู้เรื่องระบบเข้ามาเป็นกรอบ ช่วยในการค้นหาปัญหา กำหนดวิธีการแก้ปัญหา และใช้แนวทางความคิดเชิงระบบ ช่วยในการตัดสินใจแก้ปัญหา
ทฤษฎีเชิงระบบ หมายถึง การพิจารณาปรากฏการณ์ต่างๆทั้งระบบ เพื่อจะได้เห็นความสำคัญ และลักษณะขององค์ประกอบต่างๆ ที่สัมพันธ์กันเป็นหนึ่งเดียว
ผู้คิดค้นทฤษฎีระบบเป็นคนแรก คือ ลูควิก วอน เบอร์ทาแลฟฟี่ ( Ludwig Von Bertalaffy )
องค์ประกอบของระบบ ประกอบไปด้วย 5 ส่วนสำคัญ คือ
1.ปัจจัยนำเข้า 2. กระบวนการ 3. ผลผลิต 4. การป้อนกลับ 5. สภาพแวดล้อม
แนวคิดทฤษฎีระบบ มีบทบาทในการพัฒนาสร้างเสริมองค์ความรู้เกี่ยวกับองค์การและการบริหารต่างมีความเชื่อมั่นว่าจะส่งผลให้องค์การตามแนวทางแห่งความรู้ในมิติใหม่สามารถดำเนินกิจการได้อย่างมีประสิทธิผลสูงสม่ำเสมอ แม้สภาพแวดล้อมจะเปลี่ยนแปงอย่างไรก็ตาม
ดังนั้น การศึกษาวิธีการบริหารเชิงระบบเป็นกระบวนการหนึ่งที่สามารถนำไปประยุกต์ใช้กับการบริหารงานในองค์การประเภทต่างๆ ทำให้ผู้บริหารเข้าใจถึงความสัมพันธ์ระหว่างองค์การกับสภาพแวดล้อมภายนอก บริหารลักษณะองค์รวมเป้าหมาย กระบวนการระบบย่อย องค์ประกอบต่างๆ มีปฏิสัมพันธ์กัน มีการปฏิบัติงานแลกเปลี่ยนข่าวสาร เพื่อบรรลุเป้าหมายทางการบริหาร การบริหารเชิงระบบวิธีการนี้ทำให้การดำเนินงานตามระบบบรรลุตามเป้าหมาย ตามขั้นตอนที่วางไว้ ใช้เวลา งบประมาณบุคลากรมีประสิทธิภาพและคุ้มค่ามากที่สุด การศึกษาการบริหารเชิงระบบ เป็นแนวทางหนึ่งที่จะมีบทบาทในการสร้างสรรค์งานและแก้ปัญหาในองค์การได้เป็นอย่างดี และมีการพัฒนาวิธีการคิดนี้ ในการแก้ปัญหาที่หลากหลาย เฉพาะขั้นตอนหลักๆ ที่ไม่แตกต่างกันมากนัก

วันพฤหัสบดีที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2554

ครูทองดี นามสว่าง
ลงนามถวายพระพร
ณ โรงพยาบาลศิริราช
 เมื่อวันที่ 18 ตุลาคม 2553
"ดอกผลแห่งความดี"
 พิธีมอบรางวัลโรงเรียนและนักเรียนดีเด่น
 ด้านคุณธรรมและจริยธรรม ประจำปี 2553
นักเรียนโรงเรียนบ้านท่าศิลา โดยการสอนของครูทองดีนามสว่าง